ความเครียด คือสภาวะของจิตใจที่ขาดความอดทน อดกลั้นและเต็ม
ไปด้วยความคิดที่ไร้ประโยชน์ อันเนื่องมาจากความกดดันจากภาระหน้าที่
การงาน การเงิน ความสัมพันธ์ที่ขัดแย้ง รวมทั้งความไม่ถูกต้อง ความก้าว
ร้าวรุนแรง และสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษเป็นการบั่นทอนจิตใจให้ขาดพลัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากปัญหารุนแรงมาก ก็เกิดอาการเครียดที่ยาวนาน (เช่น
อุบัติเหตุ การเจ็บป่วยการตกใจกระทันหันต่อเหตุการณ์หรือภัยพิบัติต่างๆ)
มีผลเสียต่อ สุขภาพและการดำเนินชีวิตทำให้ไม่สามารถเผชิญหรือแก้ปัญหา
มีการตัดสินที่ไม่ยุติธรรม ความจำเสื่อม ขาดความกระตือรือร้น ความสนใจ
และความสุขที่แท้จริงภายใน
สาเหตุของความเครียด
- ความหยิ่งทะนงที่มาพร้อมกับความอิจฉาริษยา ไม่ยอมรับนับถือ
ผู้ใด และพร้อมที่จะโต้แย้งแข่งขันเพื่อพิสูจน์คุณค่าของตนเอง
- การมองโลกในแง่ร้าย ไม่มีความสงบ-เยือกเย็นภายใน
- การเพ่งพิจารณาแต่ความบกพร่อง-อ่อนแอของผู้อื่น ไม่สำรวจ
ตรวจสอบและแก้ไขตนเอง
- ความรู้สึกที่อ่อนไหวง่าย ไม่เข้าใจอะไรลึกซึ้ง-สมบูรณ์
- ความอยาก ไม่สามารถอยู่อย่างพอใจและสมหวัง
- ความผูกพันยึดมั่น ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงหรือการสูญเสีย
- ความเห็นแก่ตัว ไม่พร้อมที่จะให้ด้วยความสุข สบายใจ
- ความโกรธที่รุนแรง ไม่ให้อภัยต่อความผิดพลาด ทำเรื่องเล็ก
เป็นเรื่องใหญ่
- การอยู่ภายใต้ของอิทธิพลของค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีการดำ
เนินชีวิตที่สมดุลและสมบูรณ์
ผลร้ายของความเครียด
- ทำลายความสัมพันธ์ ก่อให้เกิดความแตกแยก
- สภาพอารมณ์ไม่มั่นคง ตื่นเต้น ตกใจง่าย กระวนกระวาย กล้าม
เนื้อกระตุก อยู่ไม่สุข วิตกกังวล และนอนไม่หลับ
- ทำให้เซลในร่างกายมีอายุสั้นลง ความจำเสื่อม ประสิทธิภาพ
ในการเรียน-การทำงานลดลง
- เป็นสาเหตุของการตายโดยฉับพลัน และการฆ่าตัวตาย
- เป็นยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้า ๆ ก่อให้เกิดปัญหาโรคภัยต่างๆ เช่น
โรคผิวหนัง โรคอ้วน โรคปวดศีรษะ โรคปวดหลัง โรคกระเพาะ
โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และอื่นๆ
อีกทั้งลดประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เป็นเหตุชัก
นำให้เกิดโรคติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
โดยทั่วไปผู้คนแก้ปัญหาความเครียดด้วยวิธีเหล่านี้
- หนี หลีกเลี่ยงสถานการณ์ เป็นวิธีที่ไม่อาจบรรลุเป้าหมายใน
การใช้ความสามารถอย่างเต็มที่
- หาที่พึ่ง แสวงหาความช่วยเหลือจากภายนอกเพื่อบรรเทาหรือ
เพิกเฉยต่อต้นเหตุของปัญหา เช่น การสนับสนุนจากญาติมิตร
การพักผ่อนหย่อนใจ การออกกำลังกาย การระบายความรู้สึก
หรือปรึกษาผู้อื่นรวมทั้ง บุหรี่ สุรา ยาเสพติด เป็นสิ่งที่ช่วยได้
ในระยะสั้น ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความสัมพันธ์
- ยอมแพ้ สุขภาพอ่อนแอ เจ็บป่วยเป็นโรค หรือมีอาการทาง
กายต่าง ๆ เช่น หอบหืด ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ
- เผชิญหน้า ใช้กลไกภายในเพิ่มความเข้มแข็งของจิตใจและสติ
ปัญญา ด้วยการศึกษาสาเหตุของปัญหาพร้อมกับฝึกฝนจิตใจ
ให้มีความสงบ มีสมาธิ ใช้เหตุผลในการแก้ไข เป็นการพัฒนา
ทักษะ การวิเคราะห์ การตัดสินใจ การควบคุมความคิด การกระ
ทำ ที่นำตนเองไปสู่เป้าหมายใหม่ในชีวิตที่พร้อมจะเผชิญเหตุ
การณ์ต่าง ๆ ด้วยความเข้าใจ
วิธีการขจัดความเครียด
- มีความเคารพในตนเอง และผู้อื่นตลอดเวลาด้วยการยอมรับ
คุณค่าบทบาทที่แตกต่างกัน และไม่เปรียบเทียบแข่งขัน
- มีทัศนคติที่ดีต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยการสร้างความคิดที่
เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน สับสน
- ระมัดระวังความคิด-คำพูด-การกระทำ ด้วยการสร้างสำนึกที่
บริสุทธิ์ ทำให้ผู้อื่นหลุดพ้นจากปัญหาและความทุกข์
- สร้างความสัมพันธ์กับทุกสิ่งอย่างถูกต้อง ด้วยการเข้าใจกฎ
แห่งกรรมอย่างลึกซึ้ง
- เรียนรู้ที่จะให้ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่คาดหวังสิ่งใดตอบแทน
ด้วยการขจัดความอยากต่าง ๆ
- เข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง ด้วยการฝึกจิตที่มีเป้าหมายในการ
เปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติของตนเอง ให้อยู่อย่างละวาง
และเต็มไปด้วยความรัก โดยไม่ละทิ้งความรับผิดชอบต่อ
ครอบครัวและสังคม
แหล่งที่มา
บทความจากเอกสารแผ่นพับของ ศูนย์ ราชาโยคะ ปี พ.ศ.2534
http://www.iamspiritual.com/chai/pp/stress.html
CLASSIC MOTORCYCLE CLUB
หลายอย่างในชีวิตของเราอาจจะมีความชื่นชอบในสิ่ง
ที่แตกต่างกัน สำหรับผม ผมได้สัมผัสสิ่งนั้นมาตั้งแต่เด็กและ
ในความชื่นชอบนั้นผมต้องการแบ่งปันสิ่งเหล่าให้กับบุคคลอื่นเช่นกัน
สนทนาภาษาคนรักรถ
วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553
โภชนบัญญัติ
ความจริงที่ว่า ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ ยังเป็นคำพูดที่ไม่ล้าสมัย
เพราะคงไม่มีใครปฏิเสธว่าการมีสุขภาพดี มีค่ากว่าการได้ลาภเป็นเงินเป็นทองด้วยซ้ำ
ไป เพราะแม้ว่าจะมีเงินมากองจนท่วมตัวก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพที่ดีคืนมาได้ สุขภาพ
เป็นสิ่งที่ไม่มีใคร นอกจากตัวเราเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนด เป็นสิ่งที่เราเลือกได้ แต่
เราได้เลือกแล้วหรือยัง มองย้อนกลับไปดูว่าที่ผ่านมา เราดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง
หรือเปล่า เราสนใจเรื่องอาหารการกินมากน้อยแค่ไหน เรากินเพื่ออยู่ไปวันๆ หรือเรา
มีความสุขกับการกินจนมากเกินไป ถ้าเป็นเช่นนั้น คงถึงเวลาแล้วที่เราต้องรีบปรับตัว
และไม่ปล่อยปละละเลยกับการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพราะหากเป็น
ปัญหาขึ้นมาแล้ว อาจสายเกินแก้ เมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพ เรื่องอาหารการกิน
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนกว่าเรื่องอื่น
ดังนั้น การจัดปรับพฤติกรรมการกินให้ถูกต้อง ถูกหลักโภชนาการที่ดีกิน
อาหารที่ถูกสุขลักษณะ กินเป็นเวลา ที่สำคัญ คือ กินให้พอดีและกินให้หลากหลาย
ก็สามารถลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยไปได้มากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว ในการทำความ
เข้าใจเรื่องการกินอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดีและห่างไกลโรคต่างๆ ที่เกิดจากการกิน
ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองสำรวจตัวเองว่ามีพฤติกรรมการกินอาหาร เพื่อสุขภาพมากน้อย
แค่ไหน
จากโภชนบัญญัติ 9 ข้อต่อไปนี้
1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย ไม่ซ้ำซาก เพื่อความเพียงพอ
ของสารอาหารและไม่สะสมสารพิษ ในร่างกาย และหมั่นดูแลน้ำหนักตัว
2. กินข้าวเป็นอาหารหลักสลับกับอาหารประเภทแป้งเป็นบางมื้อ และเพื่อคุณค่าที่มาก
กว่าขอแนะ
3. กินพืชผักให้มากและกินผลไม้เป็นประจำ เพื่อให้ได้วิตามิน ใยอาหารและสาร
ป้องกันอนุมูลอิสระ
4. กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ ถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ คนทั่วไปที่สุขภาพดีไม่มี
ปัญหาคอเลสเตอรอลสูงกินไข่ได้วันละ 1 ฟอง ผู้สูงอายุกินไข่ได้วันเว้นวัน ถั่ว
เหลืองและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลืองเป็นอาหารเพื่อสุขภาพควรกินเป็นประจำ
5. ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย นมที่ไขมันต่ำหรือนมถั่วเหลือง จะให้ประโยชน์มากทำ
ให้ไม่มีไขมันสะสม
6. กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร ลดการกินอาหารผัดและทอด ปรุงอาหารด้วยวิธีต้ม
นึ่ง อบ แทน
7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสหวานจัดและเค็มจัด เพื่อลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อ
เรื้อรัง
8 . กินอาหารที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อน เลือกซื้ออาหารปรุงสุกใหม่ๆ ล้างผักให้
สะอาดก่อนปรุง 9. งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะบั่นทอนสุขภาพ
และเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ โภชนบัญญัติ
9. ข้อนี้ บอกถึงการกินดี กินอย่างถูกต้อง ส่วนเรื่องการนำไปปฏิบัติจริงๆ เราจะต้องมี
ความรู้เกี่ยวกับปริมาณของอาหารที่จะกินให้เหมาะสมด้วย ใครควรจะกินมากกิน
น้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับ อายุ เพศ และกิจกรรมที่ต้องมีการใช้พลังงานมากน้อยต่าง
กันของแต่ละคน ซึ่งจะติดตามได้ต่อไป
แหล่งข้อมูล
บทความมติชน ตอนที่ 3 ประจำวันอาทิตย์ที่ 5 ต.ค .46 โดย รศ . ดร . ประไพศรี ศิริจักรวาล สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/409/42409/images/fruit.jpg
http://www.bayjai.com/board/modules/activeshow_mod/images/picture/1259479021.jpg
เพราะคงไม่มีใครปฏิเสธว่าการมีสุขภาพดี มีค่ากว่าการได้ลาภเป็นเงินเป็นทองด้วยซ้ำ
ไป เพราะแม้ว่าจะมีเงินมากองจนท่วมตัวก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพที่ดีคืนมาได้ สุขภาพ
เป็นสิ่งที่ไม่มีใคร นอกจากตัวเราเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนด เป็นสิ่งที่เราเลือกได้ แต่
เราได้เลือกแล้วหรือยัง มองย้อนกลับไปดูว่าที่ผ่านมา เราดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง
หรือเปล่า เราสนใจเรื่องอาหารการกินมากน้อยแค่ไหน เรากินเพื่ออยู่ไปวันๆ หรือเรา
มีความสุขกับการกินจนมากเกินไป ถ้าเป็นเช่นนั้น คงถึงเวลาแล้วที่เราต้องรีบปรับตัว
และไม่ปล่อยปละละเลยกับการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพราะหากเป็น
ปัญหาขึ้นมาแล้ว อาจสายเกินแก้ เมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพ เรื่องอาหารการกิน
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนกว่าเรื่องอื่น
ดังนั้น การจัดปรับพฤติกรรมการกินให้ถูกต้อง ถูกหลักโภชนาการที่ดีกิน
อาหารที่ถูกสุขลักษณะ กินเป็นเวลา ที่สำคัญ คือ กินให้พอดีและกินให้หลากหลาย
ก็สามารถลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยไปได้มากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว ในการทำความ
เข้าใจเรื่องการกินอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดีและห่างไกลโรคต่างๆ ที่เกิดจากการกิน
ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองสำรวจตัวเองว่ามีพฤติกรรมการกินอาหาร เพื่อสุขภาพมากน้อย
แค่ไหน
จากโภชนบัญญัติ 9 ข้อต่อไปนี้
1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย ไม่ซ้ำซาก เพื่อความเพียงพอ
ของสารอาหารและไม่สะสมสารพิษ ในร่างกาย และหมั่นดูแลน้ำหนักตัว
2. กินข้าวเป็นอาหารหลักสลับกับอาหารประเภทแป้งเป็นบางมื้อ และเพื่อคุณค่าที่มาก
กว่าขอแนะ
3. กินพืชผักให้มากและกินผลไม้เป็นประจำ เพื่อให้ได้วิตามิน ใยอาหารและสาร
ป้องกันอนุมูลอิสระ
4. กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ ถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ คนทั่วไปที่สุขภาพดีไม่มี
ปัญหาคอเลสเตอรอลสูงกินไข่ได้วันละ 1 ฟอง ผู้สูงอายุกินไข่ได้วันเว้นวัน ถั่ว
เหลืองและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลืองเป็นอาหารเพื่อสุขภาพควรกินเป็นประจำ
5. ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย นมที่ไขมันต่ำหรือนมถั่วเหลือง จะให้ประโยชน์มากทำ
ให้ไม่มีไขมันสะสม
6. กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร ลดการกินอาหารผัดและทอด ปรุงอาหารด้วยวิธีต้ม
นึ่ง อบ แทน
7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสหวานจัดและเค็มจัด เพื่อลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อ
เรื้อรัง
8 . กินอาหารที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อน เลือกซื้ออาหารปรุงสุกใหม่ๆ ล้างผักให้
สะอาดก่อนปรุง 9. งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะบั่นทอนสุขภาพ
และเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ โภชนบัญญัติ
9. ข้อนี้ บอกถึงการกินดี กินอย่างถูกต้อง ส่วนเรื่องการนำไปปฏิบัติจริงๆ เราจะต้องมี
ความรู้เกี่ยวกับปริมาณของอาหารที่จะกินให้เหมาะสมด้วย ใครควรจะกินมากกิน
น้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับ อายุ เพศ และกิจกรรมที่ต้องมีการใช้พลังงานมากน้อยต่าง
กันของแต่ละคน ซึ่งจะติดตามได้ต่อไป
แหล่งข้อมูล
บทความมติชน ตอนที่ 3 ประจำวันอาทิตย์ที่ 5 ต.ค .46 โดย รศ . ดร . ประไพศรี ศิริจักรวาล สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/409/42409/images/fruit.jpg
http://www.bayjai.com/board/modules/activeshow_mod/images/picture/1259479021.jpg
การนอนหลับ
สาระน่ารู้ของการนอนหลับ แพทย์ศิริราช แนะท่านอนที่ทำให้หลับสบาย
ตื่นขึ้นมาสดชื่น “นอนตะแคงขวา” ช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก บรรเทาอาการปวดหลัง
ส่วนผู้ถนัดนอนตะแคงซ้าย อาจทำให้เกิดลมจุกเสียดที่ลิ้นปี่ แนะกอดหมอนข้าง
พร้อมพาดขา ป้องกันขาชาจากการนอนทับเป็นเวลานาน นพ.ชนินทร์ ลีวานันท์
ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า การพักผ่อน
ที่ดีที่สุดคือ การนอนหลับ มนุษย์ใช้เวลาเพื่อนอนหลับถึง 1ใน 3 ของอายุขัย ขณะ
นอนหลับท่านอนเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลให้ผู้นอนหลับสนิทตลอดคืน และตื่นนอน
ด้วยความสดชื่น ไม่รู้สึกปวดเมื่อย ซึ่งโดยปกติคนทั่วไปคนเรานิยมนอนหงาย
เพราะเป็นท่านอนมาตรฐาน การนอนหงายที่เหมาะสมนั้น ควรใช้หมอนต่ำและ
ต้นคอควรอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว เพื่อไม่ให้ปวดคอ อย่างไรก็ตาม ท่านอน
หงายไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกระบังลมจะกดทับ
ปอดทำให้หายใจไม่สะดวก ส่งผลทำให้การทำงานของหัวใจลำบากยิ่งขึ้น นอก
จากนี้ ผู้มีอาการปวดหลังการนอนหงายในท่าราบจะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้นด้วย
นพ.ชนินทร์ กล่าวว่า สำหรับท่านอนที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับท่านอนอื่น ๆ คือ ท่านอน
ตะแคงขวา เพราะจะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก และอาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลง
ลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ส่วนท่า
นอนตะแคงซ้ายซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหลังได้ แต่ควรกอดหมอนข้าง และพาด
ขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้ายจากการนอนทับเป็นเวลานาน
อย่างไรก็ตาม ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่
เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะอาหาร ส่วน
ท่านอนคว่ำเป็นท่าที่ทำให้หายใจติดขัด ทั้งยังทำให้ปวดต้นคอ เพราะต้องเงยหน้า
มาทางด้านหลังหรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้อง
นอนคว่ำจึงควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยต้นคอ
แหล่งข้อมูล
http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=7112449426483702528&postID=3845929450094267518
http://www.sahavicha.com/?name=article&file=readarticle&id=482
ตื่นขึ้นมาสดชื่น “นอนตะแคงขวา” ช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก บรรเทาอาการปวดหลัง
ส่วนผู้ถนัดนอนตะแคงซ้าย อาจทำให้เกิดลมจุกเสียดที่ลิ้นปี่ แนะกอดหมอนข้าง
พร้อมพาดขา ป้องกันขาชาจากการนอนทับเป็นเวลานาน นพ.ชนินทร์ ลีวานันท์
ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า การพักผ่อน
ที่ดีที่สุดคือ การนอนหลับ มนุษย์ใช้เวลาเพื่อนอนหลับถึง 1ใน 3 ของอายุขัย ขณะ
นอนหลับท่านอนเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลให้ผู้นอนหลับสนิทตลอดคืน และตื่นนอน
ด้วยความสดชื่น ไม่รู้สึกปวดเมื่อย ซึ่งโดยปกติคนทั่วไปคนเรานิยมนอนหงาย
เพราะเป็นท่านอนมาตรฐาน การนอนหงายที่เหมาะสมนั้น ควรใช้หมอนต่ำและ
ต้นคอควรอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว เพื่อไม่ให้ปวดคอ อย่างไรก็ตาม ท่านอน
หงายไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกระบังลมจะกดทับ
ปอดทำให้หายใจไม่สะดวก ส่งผลทำให้การทำงานของหัวใจลำบากยิ่งขึ้น นอก
จากนี้ ผู้มีอาการปวดหลังการนอนหงายในท่าราบจะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้นด้วย
นพ.ชนินทร์ กล่าวว่า สำหรับท่านอนที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับท่านอนอื่น ๆ คือ ท่านอน
ตะแคงขวา เพราะจะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก และอาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลง
ลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ส่วนท่า
นอนตะแคงซ้ายซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหลังได้ แต่ควรกอดหมอนข้าง และพาด
ขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้ายจากการนอนทับเป็นเวลานาน
อย่างไรก็ตาม ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่
เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะอาหาร ส่วน
ท่านอนคว่ำเป็นท่าที่ทำให้หายใจติดขัด ทั้งยังทำให้ปวดต้นคอ เพราะต้องเงยหน้า
มาทางด้านหลังหรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้อง
นอนคว่ำจึงควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยต้นคอ
แหล่งข้อมูล
http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=7112449426483702528&postID=3845929450094267518
http://www.sahavicha.com/?name=article&file=readarticle&id=482
วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553
ความหลงใหลในรถสองล้อ
ผมชื่นชอบและสะสมรถสองล้อมานาน ในวัยเด็กผมได้รถจักรยานเป็นของขวัญ
วันเกิด กว่าผมจะขี่ได้เก่งเหมือนทุกวันนี้ก็ทำให้ผมได้บาดแผลหลายที่
วันเกิด กว่าผมจะขี่ได้เก่งเหมือนทุกวันนี้ก็ทำให้ผมได้บาดแผลหลายที่
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)